ประวัติ ของ ประภัสร์ จงสงวน

ประภัสร์ จงสงวน จบการศึกษาจากระดับมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และเข้าศึกษาต่อที่ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเมื่อ พ.ศ. 2521 จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาอาชญวิทยา จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียสเตท[1] (California State University) สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2524

การทำงาน

เดิมทีเขาต้องการเป็นตำรวจสหรัฐอเมริกา[1] แต่เนื่องจากมารดาเรียกตัวกลับไทย ประภัสร์ตระหนักดีถึงชีวิตราชการตำรวจไทย เขาจึงหันไปทำงานด้านกฎหมาย โดยการทำงานที่สำนักงานกฎหมาย ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน[1] ซึ่งส่วนใหญ่ได้ทำคดีเกี่ยวกับภาครัฐ โดยเฉพาะกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จนได้รู้จักกับ เจ้าพนักงานอัยการ จุลสิงห์ วสันตสิงห์ ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2528 ประภัสร์ได้เข้ามาทำงานที่การทางพิเศษฯ ตามคำชวนของอัยการจุลสิงห์ ในตำแหน่งนิติกร 7[1] และได้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการการทางพิเศษคนที่5สุขวิช รังสิตพล และ รองนายกรัฐมนตรีสุขวิช รังสิตพลได้ยืมตัวประภัสร์เป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรี สุขวิช รังสิตพลซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานองค์การรถไฟฟ้ามหานคร คนที่3 ในด้านระบบขนส่งมวลชน สมัยรัฐบาลชวน 1 [1]

เขาทำงานที่การทางพิเศษฯ จนได้ขึ้นเป็น รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นตำแหน่งสุดท้าย จนถึง ปี พ.ศ. 2540 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการองค์การรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) รับผิดชอบงานโครงการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน

ประภัสร์ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของรฟม. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 - 2551

ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

พ.ศ. 2551 ประภัสร์ที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการฯ รฟม.อยู่ ได้รับการทาบทามจากพรรคพลังประชาชน ให้ลงสมัครในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2551 ในนามของตัวแทนจากพรรคพลังประชาชน ซึ่งทำให้เขาต้องลาออกจากการเป็นผู้ว่าการฯรฟม. ในการเลือกตั้งครั้งนั้น ประภัสร์ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียง 543,488 คะแนน มากเป็นลำดับสองรองจากอภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์

ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย

หลังจากการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ประภัสร์เข้ามารับตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ต่อมาในปี พ.ศ. 2555 เขาได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี และลงสมัครตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งประภัสร์ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2555[2]

ในตำแหน่งนี้ เขาเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของรัฐบาลในการผลักดันโครงการปฏิรูประบบราง เช่นโครงการรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย, รถไฟฟ้าสายสีแดง และรถไฟทางคู่ โดยเป็นกรรมาธิการพิจารณา พรบ. โครงสร้างพื้นฐานสองล้านล้านบาท ในช่วงการดำรงตำแหน่งผู้ว่ารฟท.ของเขา มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ อาทิ การรื้อและทำทางรถไฟใหม่ทั้งหมดในเขตภาคเหนือตอนบน, แก้แบบโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต จาก 3 เป็น 4 ทาง, แก้แบบให้สถานีกลางบางซื่อรองรับรถไฟความเร็วสูง, จัดซื้อขบวนรถด่วนพิเศษจำนวน 8 ขบวน (115 ตู้) เพื่อให้บริการในสี่เส้นทาง (อุตราวิถี, อีสานวัฒนา, อีสานมรรคา, ทักษิณารัถย์)

ในเดือนกรกฎาคม 2557 มีกระแสกดดันจากประชาชนส่วนหนึ่งอย่างรุนแรงให้ประภัสร์ลาออกหลังเกิดเหตุพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยก่อเหตุฆ่าข่มขืนผู้โดยสารในรถไฟแต่เขายืนยันว่าจะไม่ลาออก [3] คณะรัฐประหารจึงมีคำสั่งปลดประภัสร์ในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 การปลดเป็นไปในลักษณะเป็นไปเพื่อต้องการความนิยมจากประชาชน เห็นได้จากการที่มีคำสั่งปลดอย่างเร่งรีบและสั้นๆเพียง 3 บรรทัด ผิดจากคำสั่งปลด-โยกย้ายข้าราชการอื่นๆ ที่จะระบุไว้ชัดเจนถึงอำนาจหน้าที่และบุคคลที่มาแทนอย่างชัดเจน ศาลปกครองกลางพิพากษาว่านายประภัสร์ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยชดใช้นายประภัสร์เป็นจำนวนเงิน 3.1 ล้านบาท[4]